กรุ๊ปเลือด(BLOOD GOUP)
กรุ๊ปเลือด หรือ หมู่เลือด (blood
group) นั้นแบ่งแยกตาม แอนติเจน (antigen) ที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง
ซึ่งเป็นสารชีวเคมีชนิดไกลโคโปรตีนและไกลโคไลปิดที่ร่างกายสร้างขึ้น
ทำให้แต่ละหมู่เลือดมีลักษณะที่จำเพาะ
ในปัจจุบันมีการค้นพบแอนติเจนบนผิวเม็ดเลือดแดงหลายร้อยชนิด
และสามารถแบ่งหมู่เลือดได้มากกว่า 30 ระบบ โดยระบบที่เรารู้จักกันดี
คือหมู่เลือดตามระบบ ABO นั่นเอง
หมู่เลือดระบบ ABO
การจะแยกว่าใครมีหมู่เลือดชนิดใดนั้น
ต้องอาศัยการแยกสารประเภทโปรตีนที่อยู่ร่วมกับโมเลกุลของน้ำตาลที่อยู่ผิว
ของบนเม็ดเลือดแดง สารที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงนี้เรียกได้ว่าเป็นแอนติเจน (antigen)
ซึ่งแอนติเจนแต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่างกัน โดยที่คนที่มีหมู่เลือด A
ก็จะมีแอนติเจนเป็นชนิด A หมู่เลือด B ก็มีแอนติเจนเป็นชนิด
B ถ้ามีทั้งแอนติเจนชนิด A และ
B อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงก็จะเป็นคนที่มีหมู่เลือด
AB แต่ถ้าไม่มีทั้งสองชนิดก็จะจัดเป็นหมู่เลือด O
การกระจายของหมู่เลือดต่างๆ ในแต่ละส่วนของโลกจะแตกต่างกัน
ในคนไทยนั้นมีหมู่เลือด AB น้อยที่สุด
ส่วนหมู่เลือดที่มีมากที่สุดได้แก่หมู่เลือด O สำหรับการตรวจว่าใครมีหมู่เลือดนั้นก็ทำได้ไม่ยากนัก
สามารถตรวจโดยการใช้น้ำยาสำเร็จรูป หากท่านผู้อ่านยังไม่ทราบว่าหมู่เลือดของตัวเองวิธีง่ายๆ
ก็คือทำการบริจาคเลือด
ทางหน่วยงานที่รับบริจาคก็จะทำการตรวจหมู่เลือดและแจ้งผลให้ท่านทราบ
เลือดที่ท่านบริจาคก็จะถูกแยกเป็นส่วนๆ
และนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปอย่างคุ้มค่ามากที่สุด
นอกจากแอนติเจนที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงเราพบอีกว่าจะมีสารภูมิคุ้มกันที่ เรียกว่าแอนติบอดี (antibody) อยู่ในส่วนน้ำเลือดของแต่ละคนแตกต่างกันด้วย โดยที่คนที่มีหมู่เลือด A มีแอนติบอดีที่สามารถทำปฏิกิริยากับแอนติเจน B ส่วนคนที่มีหมู่เลือด B มีแอนติบอดีที่ทำปฏิกิริยากับแอนติเจน A คนที่มีหมู่เลือด O ก็จะพบแอนติบอดีทั้งสองชนิดในน้ำเลือด ส่วนหมู่เลือด AB ก็จะไม่มีแอนติบอดีทั้งสองชนิด เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นจึงขอสรุปเกี่ยวกับแอนติเจนและแอนติบอดี รวมถึงสัดส่วนของคนไทยที่มีหมู่เลือดต่างๆ ไว้ในรูปตารางด้านล่าง
นอกจากแอนติเจนที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงเราพบอีกว่าจะมีสารภูมิคุ้มกันที่ เรียกว่าแอนติบอดี (antibody) อยู่ในส่วนน้ำเลือดของแต่ละคนแตกต่างกันด้วย โดยที่คนที่มีหมู่เลือด A มีแอนติบอดีที่สามารถทำปฏิกิริยากับแอนติเจน B ส่วนคนที่มีหมู่เลือด B มีแอนติบอดีที่ทำปฏิกิริยากับแอนติเจน A คนที่มีหมู่เลือด O ก็จะพบแอนติบอดีทั้งสองชนิดในน้ำเลือด ส่วนหมู่เลือด AB ก็จะไม่มีแอนติบอดีทั้งสองชนิด เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นจึงขอสรุปเกี่ยวกับแอนติเจนและแอนติบอดี รวมถึงสัดส่วนของคนไทยที่มีหมู่เลือดต่างๆ ไว้ในรูปตารางด้านล่าง
ตารางแสดงลักษณะของหมู่เลือดในระบบ ABO และการกระจายในประชากรไทยโดยประมาณ
ระบบ หมู่เลือด ABO ยังสามารถแบ่งย่อยลงได้อีก
เช่นหมู่เลือด A ยังสามารถแบ่งย่อยได้เป็น A1,
A2, A3, Ax, Aend, Am, Ael เป็นต้น
หมู่เลือด B, AB และ O ก็สามารถแยกย่อยได้อีกหลายกลุ่มเช่นกัน
โดยการตรวจแยกอาจต้องใช้เทคนิคอื่นๆ มาช่วยในการตรวจวิเคราะห์ และมีความสำคัญทางคลินิกแตกต่างกันไป
ระบบ หมู่เลือดอาร์เอช หรือ Rh เป็นระบบของหมู่เลือดอีกระบบหนึ่ง
คล้ายกับระบบเลือดอื่นๆ ระบบหมู่เลือด Rh นี้ก็อาศัยแอนติเจนอีกชนิดหนึ่งที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง
คือแอนติเจนชนิด D ถ้าเม็ดเลือดแดงของคนใดมีแอนติเจนชนิด D
นี้อยู่ ก็จะมีหมู่เลือดเป็น Rh+ (Rh positive) แต่ถ้าไม่มี
ก็จะจัดเป็น Rh- (Rh negative) แต่คนไทยส่วนใหญ่แล้วจะมี Rh+ ร้อยละ
99.7 ทำให้คนที่มีเลือด Rh- เป็นหมู่เลือดที่หายากในคนไทย
ความสำคัญของหมู่เลือด
หมู่ เลือดนั้นมีความสำคัญในวงการแพทย์มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการให้เลือดแก่ผู้ที่ต้องการเลือด
เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงนั้นมีคุณสมบัติในการกระตุ้น
ภูมิคุ้มกันเมื่อให้เข้าไปในร่างกายของผู้รับ
หากผู้ป่วยได้รับเลือดที่มีหมู่เลือดไม่ตรงกันกับเลือดของผู้ป่วย ร่างกายของผู้ป่วยก็จะตอบสนองต่อเลือดที่ได้รับเข้าไป
เสมือนว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกาย
ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านและเป็นอันตรายต่อตัวของผู้ที่ได้รับเลือดเข้าไป
นอกจากนี้หมู่เลือดยังสามารถนำไปพิสูจน์การเป็นพ่อแม่ลูกอย่างง่าย ๆ ได้ด้วย
อย่างไรก็ตามการพิสูจน์การเป็นพ่อแม่ลูกที่ชัดเจนในบางครั้งนั้นอาจต้อง
พิสูจน์ถึงหมู่เลือดย่อยหรือใช้การตรวจดีเอ็นเอ (DNA) ช่วยในการตัดสินด้วย
หมู่
เลือดยังมีความสำคัญในส่วนของเด็กแรกคลอดที่อาจจะเกิดปฏิกิริยาจากความไม่
เข้ากันของหมู่เลือดแม่และลูกทำให้เม็ดเลือดแดงของเด็กทารกแตก
ถ้าเกิดจากการไม่เข้ากันในระบบ ABO อาการก็มักจะไม่ค่อยรุนแรง
แต่ถ้าเป็นความไม่เข้ากันในระบบ Rh ก็มักจะพบว่ามีอาการที่รุนแรงกว่า
ระบบหมู่เลือดในปัจจุบัน
ระบบ
ที่แยกหมู่เลือดที่เป็นมาตรฐานและยอมรับโดยองค์กรสำคัญระดับนานาชาติที่
เกี่ยวข้องกับการให้เลือดมีอยู่ 29 ระบบ
ซึ่งหมายถึงว่าอาจมีแอนติเจนอยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงของเราหลากหลายชนิด
ซึ่งขอให้ข้อมูลกับท่านผู้อ่านไว้ในรูปของตาราง 10 ระบบที่ใช้มากๆ
เผื่อท่านผู้อ่านสนใจเอาไว้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
ตารางแสดงระบบของหมู่เลือด 10 ระบบ ตาม ISBT
number2
ขั้นตอนในการตรวจกรุ๊ปเลือด
การตรวจกรุ๊ปเลือดนั้นมีขั้นตอนเหมือนกับการตรวจเลือดโดยทั่วไป แต่แตกต่างกันที่ก่อนเข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องงดอาหาร หรืองดน้ำแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อเข้ารับการตรวจ พยาบาลจะรัดที่ต้นแขนด้วยยางยืด หรือสายรัด เพื่อให้เห็นเส้นเลือดดำได้ชัดยิ่งขึ้น และทำให้ง่ายต่อการใช้เข็มเจาะลงไปที่เส้นเลือดดำ จากนั้นพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเจาะเลือดจะนำสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดบริเวณที่จะเจาะเลือด และนำเข็มที่ผ่านการฆ่าเชื้อเจาะลงไปยังบริเวณดังกล่าวเพื่อเก็บตัวอย่างเลือด แต่ถ้าเจาะแล้วไม่ได้เลือดตามที่ต้องการก็อาจต้องเปลี่ยนบริเวณที่เจาะและเปลี่ยนเข็มเจาะเลือด ในขณะที่เก็บตัวอย่างเลือด พยาบาลจะปลดสายรัดที่ต้นแขนออกเมื่อได้ปริมาณเลือดตามที่ต้องการ แล้วจึงนำเข็มออก และปิดทับบริเวณที่เจาะเลือดด้วยสำลี หรือพลาสเตอร์ปิดแผล จากนั้นพยาบาลจะแนะนำให้ผู้เข้ารับการตรวจเลือดไปนั่งรอผลการตรวจต่อไป
ความเสี่ยงจากการตรวจกรุ๊ปเลือด
การตรวจกรุ๊ปเลือดเป็นวิธีการตรวจที่ไม่อันตราย แต่อาจพบความเสี่ยงบ้างเล็กน้อย ได้แก่
- เกิดรอยฟกช้ำตรงบริเวณที่เจาะเลือด
- เป็นลมหรือวิงเวียนศีรษะ
- บางกรณีอาจเกิดหลอดเลือดดำบวมอักเสบหลังจากเจาะเลือด
- ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่รับประทานยาแอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาละลายลิ่มเลือด เลือดอาจไหลไม่หยุดได้
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย หากผู้ป่วยมีปัญหาการแข็งตัวของเลือด หรือมีประวัติว่าเคยเกิดรอยฟกช้ำ หรือเส้นเลือดดำบวมอักเสบ ควรแจ้งแพทย์ เพื่อที่จะได้เพิ่มความระมัดระวังในการเจาะเลือดมากขึ้น
กรุ๊ปเลือดใดเข้ากันได้บ้าง ?
เนื่องจากความแตกต่างของแอนติเจนในเลือดจึงทำให้ผู้ที่มีความแตกต่างของกรุ๊ปเลือดบางกรุ๊ปไม่สามารถรับเลือดของกรุ๊ปอื่นได้ แต่บางกรุ๊ปก็รับเลือดของกรุ๊ปอื่นได้ เช่น
- กรุ๊ปเลือดเอ อาร์เอชลบ (A- Blood Type) รับเลือดกรุ๊ปเอ อาร์เอชลบ (A-) และ กรุ๊ปเลือด โอ อาร์เอชลบ (O-) ได้
- กรุ๊ปเลือดเอ อาร์เอชบวก (A+ Blood Type) รับเลือดกรุ๊ปเอ อาร์เอชลบ (A-) เอ อาร์เอชบวก (A+) โอ อาร์เอชลบ (O-) และ โอ อาร์เอชบวก (O+) ได้
- กรุ๊ปเลือดบี อาร์เอชลบ (B- Blood Type) รับเลือดกรุ๊ปบี อาร์เอชลบ (B-) และ กรุ๊ปเลือด โอ อาร์เอชลบ (O-) ได้
- กรุ๊ปเลือดบี อาร์เอชบวก (B+ BloodType) รับเลือดกรุ๊ปบี อาร์เอชลบ (B-) บี อาร์เอชบวก (B+) โอ อาร์เอชลบ (O-) และ โอ อาร์เอชบวก (O+) ได้
- กรุ๊ปเลือดเอบี อาร์เอชลบ (AB- Blood Type) รับเลือดกรุ๊ปเอบี อาร์เอชลบ (AB-) และ กรุ๊ปเลือด โอ อาร์เอชลบ (O-) ได้
- กรุ๊ปเลือดเอบี อาร์เอชบวก (AB+ Blood Type) รับเลือดกรุ๊ปเอบี อาร์เอชลบ (AB-) เอบี อาร์เอชบวก (AB+) เอ อาร์เอชลบ (A-) เอ อาร์เอชบวก (A+) บี อาร์เอชลบ (B-) บี อาร์เอชบวก (B+) โอ อาร์เอชลบ (O-) และ โอ อาร์เอชบวก (O+) ได้
- กรุ๊ปเลือด โอ อาร์เอชลบ (O- Blood Type) รับเลือดได้เพียงเลือดกรุ๊ป โอ อาร์เอชลบ (O-) เท่านั้น
- กรุ๊ปเลือด โอ อาร์เอชบวก (O+ Blood Type) รับเลือดกรุ๊ปโอ อาร์เอชลบ (O-) และ โอ อาร์เอชบวก (O+) ได้
รับเลือดผิดกรุ๊ปจะเป็นอย่างไร?
ร่างกายของเราจะทำปฏิกิริยาต่อต้านเลือด โดยจะทำลายเม็ดเลือดที่เข้าไป เม็ดเลือดจะแตกและตกตระกอนในไต ทำให้ไตวาย มีอาการไข้ขึ้นสูง ปวดบริเวณที่ให้เลือด ปวดหลัง ปัสสาวะเป็นสีน้ำโค้ก อาจถึงขั้นนเสียชีวิตได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น